latest Post

โจ้ รังสรรค์ จากเด็กโคตรเกเร สู่ผู้จัดคอนเสิร์ตโคตรเท่ ที่น่าจับตามอง

จากเด็กดื้อเริ่มเป็นเด็กเหี้ย… นี่คือพูดของเค้าเอง ที่ร่ายบรรเลงถึงชีวิตที่ผ่าน จากหัวโจกวัยรุ่น มีเรื่องทุกวันกลางกรุงเทพมหานคร สู่ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่เป็นผู้จัดคอนเสิร์ตระดับประเทศ พร้อมบทบาทใหม่เจ้าของบริษัท Teenage Dream Corporation  เอาละไปทำความรู้จักกับเค้ากันดีกว่ากับ โจ้ รังสรรค์ จากเด็กโคตรเกเร สู่ผู้จัดคอนเสิร์ตโคตรเท่ ที่น่าจับตามอง

เล่าให้เราฟังหน่อยตอนเด็ก ๆ คุณดื้อขนาดไหน

เป็นเด็กอ้วน บ้าพลังครับ ตัวใหญ่ไม่กลัวใคร แถมเราเป็นคนที่เวลาใครท้านี่ไม่ได้ ต้องเอา แถมชอบโชว์พาวเวอร์ จนกระทั่งวันที่ผมโดนไล่ออกจากโรงเรียนครั้งแรก มันเริ่มจากผมนั่งเก้าอี้อยู่ แล้วโดนดึงออก ผมก็เลยล้ม แต่ความจริงมันเริ่มมาจากที่ผมไปรังแกเค้าก่อนแหละครับ แล้วทีนี้เราก็อารมณ์ร้อน ก็เลยไปเตะเก้าอี้เค้า เค้าล้มหัวฟาดพื้น หัวแตก ผมก็เลยโดนเชิญออก แต่จริง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ มันมีหลายเรื่องสะสมกันมาครับ… และจากนั้นเราก็ออกมาอยู่กับเด็กแวนซ์ ตอนนั้นก็สุดทางมากนะครับจนมีฉายาว่า 'โจ้ล้างบาง' แต่ไม่นานคุณพ่อเริ่มเป็นห่วงเลยส่งไปอยู่ต่างประเทศเลย

ประเทศไหนครับ

สิงคโปร์ครับ เราก็ไปแบบไม่รู้เรื่องเลย ภาษาก็ไม่ได้ครับ ตอนนั้นไปประมาณช่วง ม.2 ไม่ก็ ม.3 เราก็ยังเหมือนเดิมเลย แต่จุดเปลี่ยนคือเราไปมีแฟนเป็นชาวอินโดครับ คือเค้าเป็นเด็กเนิร์ด เรียบร้อย ซึ่งตรงกับสเป็คเราพอดี (ดูแล้วไม่น่าใช่เลยนะครับ) แต่ผมชอบครับ(หัวเราะ) … คือแล้วเราก็ชอบเค้าแต่ไม่รู้จะเข้าหายังไงดี เราเห็นเค้าเรียนอย่างเดียวก็เลยไปให้เค้าสอนการบ้าน แล้วสอนไปสอนมาเราดันทำได้ดี เหมือนเราได้ค้นพบความสามารถอีกด้านของตัวเอง จนมีโอกาสได้ไปสอบชิงทุนโรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งปีนั้นก็มีคนสอบเยอะอยู่เหมือนกัน หลักร้อยคน มีเราเป็นคนไทยที่สอบผ่านคนเดียว เราก็งง ๆ เหมือนกันว่าผ่านได้ยังไง(หัวเราะ) แล้วคุณพ่อพอทราบข่าวก็บินด่วนมาหาเลย เพราะดีใจปนตกใจไม่เชื่อว่าผมจะสอบผ่านจริง ๆ

ชีวิตเริ่มเข้ารูปเข้ารอยแล้วสินะครับ

ยังครับ คือเราก็เป็นคนซ่า ๆ ดื้อ ๆ เค้าห้ามเจาะหูเราก็ทำ พกบุหรี่ในกระเป๋าเสื้ออะไรแบบนี้ และสุดท้ายพอไปสอบสัมภาษณ์ก็ไม่ผ่านครับ

เอ้า!

คือเราเข้าใจว่าถ้าทำตัวแบบเกเรแต่ฉลาด เค้าน่าจะชอบ แต่สุดท้ายมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เลยต้องไปเรียนที่อื่นแทนครับจากนั้นก็กลับไทยมาเรียนที่มหิดลครับ… เอาจริง ๆ ตอนแรกพ่อจะให้เรียนที่ต่างประเทศต่อ แต่เราเห็นเพื่อน ๆ ที่ไทยในวัยเดียวกันเค้าได้เที่ยวผับ นั่นนี่แล้วเราอยาก ก็เลยกลับมา คือผมยังมีเชื้อความดื้ออยู่น่ะครับ(หัวเราะ)

แล้วรอบนี้เป็นยังไงบ้างครับหลังจากกลับไทย

ก็เหมือนเดิมครับ ไปก่อปัญหาอีกตอนปี 2 ที่มหิดลเค้าก็เลยเชิญออก พอออกมาเราก็ไปอยู่แต่สยามมีเรื่องแทบทุกวัน จนพ่อเป็นห่วงกลัวเราไม่รอดเลยส่งไปเรียนที่พัทยา แต่ก็ไม่ค่อยเรียนอยู่ดีครับ ไปรอสอบอย่างเดียว แต่ก็สอบผ่านนะครับ เพราะโชคดีที่เราเคยตั้งใจเรียนมาก่อนมันก็เลยเอาตัวรอดมาได้

แล้วหลังจากเรียนจบเรามาเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตได้ยังไงครับ

มีจุดเปลี่ยนครับ คือตอนนั้นผมแฟนอยู่แล้วเลิกกัน แล้วเค้าก็ไปมีแฟนใหม่ที่เป็นคนค่อนข้างจะมั่นคง คือเราไม่ได้สนใจหรอกว่าเค้าจะคบกันเพราะเงินหรือเพราะอะไร แต่มันฉุกใจให้เราคิดได้ว่าผู้ชายคนใหม่นั้นเค้ามั่นคง ส่วนเราพอเรียนจบมาก็เอาแต่เที่ยวเล่นไปเรื่อยอยู่เลย… ก็เลยไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่งเกี่ยวกับอีเวนต์ คือย้อนกลับไปสมัยเรียนผมได้ไปฝึกงานกับหัวหน้าคนหนึ่งที่ทำงานใน บ. นี้ ซึ่งตอนนั้นก็ทำเกี่ยวกับอีเวนต์เหมือนกัน แล้วเค้าเห็นว่าผมทำงานได้ หัวไว ก็เลยได้โอกาสทำงานด้วยกันอีกครั้งหนึ่งครับ

เป็นไงบ้างครับการทำงาน

เพิ่งเข้าไปไปไม่นานก็โดนเลยครับ ส่งผมไปทำงานใหญ่อยู่ปีนังคนเดียว ไปคุมที่นั่น แล้วคอยประสานงานกับโรงแรม ซึ่งมันก็เป็นภูมิต้านทานให้เราได้ดีพอเสร็จงานนั้นกลับมาเราเลยเข้าใจเรื่องอีเวนต์มากขึ้นเลยครับ แล้วทีนี้หัวหน้าผมก็โดนซื้อตัวไปบริษัทอื่น ส่วนเราเองก็รู้สึกไม่มั่นใจกับการทำงานที่นี่ เพราะเสนอไอเดียอะไรไปเค้าก็ไม่ตอบรับ ทำให้เราเริ่มจะทบทวนเกี่ยวกับอนาคตตัวเอง ซึ่งตอนนั้นเองที่ผมได้เจอกับพี่ต้น AF เค้าก็ชวนผมมาทำคอนเสิร์ตด้วยกัน

แล้วไปไงมาไงเค้าถึงมาชวนเราได้ครับ

คือผมกับพี่เค้าก็รู้จักกันมาบ้างอยู่แล้ว แล้วเหมือนช่วงนั้นเค้างานยุ่งแล้วเห็นว่าผมเคยทำงานด้านนี้มา ก็เลยให้ผมช่วยทำพรีเซนเตชั่น คือเหมือนอันเก่ามันไม่สวย และพอผมแก้ไปให้เค้ามันโอเค เค้าชอบมาก ทีมของเค้าชอบมาก ก็เลยได้เข้ามาทำงานด้วยกันครับที่บริษัทแห่งหนึ่ง ถือเป็นจุดเริ่มต้นการทำคอนเสิร์ต

ตอนนั้นเราทำอะไรบ้าง

ก็ได้ทำหลายอย่างเลยครับ ถ้าพวกคอนเสิร์ตก็มี Foo Fighter แล้วก็ G-DAY ที่รวมศิลปินป๊อปไทย แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้น คือคอนเสิร์ต G-DAY ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แล้วมีปัญหาเรื่องตัวเลขนิดหน่อยก็เลยแยกทางกัน ก็เลยย้ายมาทำที่บริษัทอีกแห่งซึ่งเกี่ยวกับการจัดคอนเสิร์ตเหมือนกัน ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้ดีครับ แต่เหมือนปัญหาของบริษัทนี้โพสิชั่น(ตัวตน) ในการทำคอนเสิร์ตยังไม่ชัด ขายเด็กบ้าง ขายวัยรุ่นบ้าง ขายผู้ใหญ่ คือมีอะไรมาเค้าก็ทำ เราก็เลยตัดสินใจเปิดบริษัทใหม่ของตัวเองขึ้นมาคู่กันชื่อว่า Teenage Dream Corporation

บริษัทนี้เกี่ยวข้องหรือแตกต่างจากบริษัทเดิมที่เราทำอยู่อย่างไรครับ

คือ Teenage Dream Corporation บริษัทของเราจะทำควบคู่กับบริษัทเดิมผมไปด้วย แต่จะแบ่งกันชัดเจนคือ ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นเด็ก หรือวัยรุ่น ผมก็จะทำ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ หรือรุ่นเก๋าหน่อยก็จะให้อีกบริษัททำ คือจะทำงานร่วมกันตลอดครับ

Teenage Dream แตกต่างจากบริษัทเกี่ยวกับคอนเสิร์ตอื่น ๆ อย่างไร

ครับ… คือนอกจากจะจัดคอนเสิร์ตแล้ว เรายังเปิดโอกาสให้คนที่มีไอเดีย แต่ไม่รู้จะทำยังให้เข้ามาพูดคุยกับเราเพื่อให้มันเกิดขึ้นจริงได้ด้วยครับ โอเคสมมติฟังเรามันเวิร์ค มันเจ๋ง ไป ไปทำกัน… แต่เราจะไม่ใช่การรับจ้างจัดคอนเสิร์ตนะครับ แบบถ้าคุณจะจ่ายเงินศิลปินแล้วให้เราทำ ไม่ใช่ เราไมได้เป็นอย่างนั้น ผมจะต้องมีหุ้นด้วย คุณจะลงเท่าไหร่ก็ว่าไปเช่น คุณ 60 ผม 40 แบบนี้ก็ไม่มีปัญหา เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะว่าผมจะได้ทำมันอย่างเต็มที่ เพราะผมก็แบกความเสี่ยงไปด้วยกันกับคุณ ถือเป็นหลักค้ำประกันไปในตัวว่าเราไม่ทิ้งคุณแน่ คุณเจ็บผมก็เจ็บ

แล้วนอกจากคอนเสิร์ตทำอย่างอื่นด้วยไหมครับ

ทำครับ คือในบริษัทไม่ได้มีเป็นเจ้าของหุ้นคนเดียว ยังมีคนอื่นด้วยที่เค้ารับจัดอีเวนต์ทั่วไปด้วย เช่นนิทรรศกาล งานเลี้ยง งานแต่ง ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นออแกร์ไนซ์เซอร์เต็มตัวครับ

พูดถึงการเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตหน่อยครับ ส่วนใหญ่เค้าว่ากันว่าขาดทุนเสมอ… คำนี้จริงมั้ยครับ

โห… จริงเหรอ! คือมันมีหลายช่องทางมาก ๆ เลยที่จะทำเงินได้คอนเสิร์ต บางทีขายของจากศิลปินก็ได้ ไม่โปรโมทเองก็ได้เงิน หรือทำโปรดัคชั่นเองก็ได้เงิน คือบางอย่างถ้าเราจ้างคนนอกก็จะแพง แต่ถ้าเราสามารถทำเองได้ โดยที่คุณภาพไม่แตกต่างกันก็ประหยัดเงินไปได้เยอะเลยเหมือนกันครับ คือมันมีหลายมุมที่จะหาเงินได้จากคอนเสิร์ตครับ

ย้อนไป 2 – 3 เดือนก่อน Teenage Dream Corporation มีการประกาศรับสมัครครีเอทีฟด้วยวงเงินสูงมาก เล่าให้เราฟังหน่อยเป็นยังไงบ้าง

อ๋อ… ใช่ครับ คือจุดเริ่มต้นจริง ๆ มันมาจากที่ผมไปถ่ายงานวันเกิดงานหนึ่ง แล้วผมรู้สึกว่าผมถ่ายมาโอเคเลยนะ แต่พอกลับมาออฟฟิศมันไม่มีคนตัดต่อ ก็เลยลองถามเพื่อนว่ามีใครที่แนะนำไหม ไปไปมามาแต่ละคนก็บอกคนนั้นคนนี้เต็มไปหมด แถมราคาไม่เท่ากัน แต่เราก็ไม่รู้อีกว่าใครเก่งไม่เก่ง ก็เลยลงประกาศรับครับ

รับคนตัดต่อ ไม่ใช่ครีเอทีฟเหรอครับ

ป่าวครับ คือผมคิดว่าถ้าเราจะทำทั้งทีก็น่าจะทำให้สุดไปเลย คือค่าตอบแทนระดับนี้เค้าต้องตัดต่อวิดีโอได้อยู่แล้ว เป็นสัญญา 1 ปี เงินเดือนเดือนละแสน รถยนต์ป้ายแดงประจำตำแหน่ง 1 คัน คอนโดหรู อยู่ฟรี 1 ห้องตลอดระยะเวลาที่ทำงานกับบริษัท และมีอีกมากมายเลยครับ นอกจากนั้นก็เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าครีเอทีฟที่เก่งที่สุดตอนนี้อยู่กับเรา Teenage Dream Corporation

และไม่ใช่แค่นั้น

การทำแบบนี้จะทำให้ครีเอทีฟมากมายหลั่งไหลส่งใบสมัครเข้ามาหาผม และผมก็จะเลือกกลุ่มคนที่ดีที่สุดมาประมาณนึง แล้วให้พวกเค้าเป็นเหมือนฟรีแลนซ์ของเรา เวลาได้งานที่เหมาะกับใครผมก็จะป้อนให้คนนั้น ส่วนแบ่งเท่าไหร่ก็ตามแต่ตกลง… สรุปก็คือนอกจากคอนเสิร์ต ออแกร์ไนซ์ เรายังอยากให้บริษัทของเรามีทีมครีเอทีฟชั้นยอดคอยซัพพอร์ตด้วยครับ

งานถัดไปของ Teenage Dream Corporation จะมีอะไรบ้างครับ

คาดว่าต้นปีหน้าอาจจะมีเกี่ยวกับศิลปินเร็กเก้ชื่อดังจากต่างประเทศครับ อาจจะจัดที่ริมหาดสักแห่ง บอกเลยว่างานนี้เด็ดครับ

สุดท้ายเรามองตัวเองอีก 5 ปีข้างหน้ายังไงครับ

ตอนนี้ผมกำลังปั้นหุ้นส่วนคนนึงอยู่ครับ ซึ่งเค้าเป็นเพื่อนของผมด้วย เป็นคนที่ซื่อสัตย์ จริงใจ และสนิทกัน เพื่อหวังให้วันนึงเค้าจะขึ้นมารับความเครียดแทนผม(หัวเราะ) ถือหุ้นมากกว่าผมไปเลย คือผมลงทุนให้นะ แต่ทำงานแทนผมที ผมอยากไปอยู่ในที่ที่ไม่เครียด เช่น ฟาร์มผัก คือเราก็เล็ง ๆ ผักชนิดนึงไว้ที่มีตลาดคอยรับซื้อที่น่าสนใจอยู่ ก็อาจจะเปิดไว้เป็นรายได้เสริมครับ… พูดง่าย ๆ คือผมไม่อยากทำงานที่มีอะไรรัดตัว ผมอยากทำงานที่มีอิสระ เดินทางได้ตลอดเวลาครับ

ติดตาม คุณโจ้ รังสรรค์ คงคาทิพย์

ติดตาม Teeanage Dream Corporation

men around,RUSH Variety,Exclusive,rush,Teenage Dream,Teenage Dream Corporation,คอนเสิร์ต,ผู้จัดคอนเสิร์ต,โจ้ รังสรรค์

About TheeWay

TheeWay
Recommended Posts ×