Exclusive Interview : Pirom Un-prasert
LEGEND OF REFEREE
4 ปีผ่านไปในที่สุดมหกรรมลูกหนังทิ่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติก็มาถึงสำหรับฟุตบอลโลก เวิล์ด คัพ 2018 โดยครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศรัสเซีย และเริ่มจะคิก ออฟ ในวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา และแชมป์ครั้งนี้ก็ไม่พ้นทีมฝรั่งเศส ดังนั้น RUSH ฉบับนี้เพื่อให้เข้ากับกระแสฟุตบอลโลกเราจึงได้รับเกียรติจาก เปาอั๋น "ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ" ตำนานกรรมการชาวไทย เพียงคนเดียวที่เคยตัดสินในฟุตบอลโลกมาพูดคุยกันกับเรา ส่วนจะสนุกเพลิดเพลินขนาดไหนไปอ่านกันได้เลยครับ
เปิดวาร์ปคลิปเด็ดสาว RUSH คลิก
"ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ"
อัพเดตชีวิตอาจารย์ให้ทุกคนรู้หน่อยครับว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้างทำอะไรอยู่
ตอนนี้ก็เกษียณมาแล้ว มีช่วยสมาคมฟุตบอลบ้างในบางเรื่องครับ และก็เป็นหัวหน้าผู้ประเมินผู้ตัดสิน รวมทั้งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้ตัดสินไทยด้วยครับ
เริ่มต้นด้วยคำถามเบาๆละกันนะครับ รอยยิ้มที่เป็นจุดเด่นของอาจารย์นี่มีที่มาจากอะไรครับ
คือจริงๆแล้วรอยยิ้มเรามีมานานแล้วครับ แต่สื่อไม่ได้มาจับจ้อง จนมาถึงบอลโลก 98 ผมก็ยิ้มตามปกติแต่บังเอิญสื่อเห็นก็เลยมาบูม เพราะมันต่างจากคนอื่นที่เค้าทำหน้าเข้มแต่เราหน้ายิ้ม จนปัจจุบันเป็นมาตรฐานที่ผู้ตัดสินทั่วโลกต้องเรียนรู้ว่าการยิ้มนั้นสำคัญ เพราะผู้เล่นไม่ใช่โจรที่เราจะไปตึงเครียดใส่เค้า จนช่วงหลังกรรมการก็จะยิ้มกันหมดเลยครับ(หัวเราะ)
คิดยังไงบ้างครับหลังจากยุคอาจารย์ผ่านมา 20 ปีแล้ว คนไทยยังไม่มีใครที่ได้ไปอยู่จุดเดียวกับอาจารย์อีกเลย
ก็พูดยากครับ มันก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้น้องๆรุ่นหลังไม่มีโอกาสก้าวไปในระดับสูง เป็นทั้งเรื่องของภาษา ทักษะการตัดสิน สมรรถภาพทางกาย 3 สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าน้องๆไม่สามารถที่จะสื่อสาร หรือแสดงความสามารถในการตัดสินได้ โอกาสที่จะก้าวไปสู่ระดับสูงก็คงยาก ตอนนี้พวกเรายังไม่มีใครที่โดดเด่นขนาดนั้นน่ะครับ
ผู้ตัดสินที่ดีหรือเก่ง เป็นยังไงครับ
ต้องยุติธรรม ใจต้องไม่เอนเอียง ผู้ตัดสินไทยบางส่วนมันเสียเพราะอาจจะมีเรื่องของคอรัปชั่น เรื่องผู้ใหญ่ฝากมา รวมทั้งปัจจัยอื่นอีก ซึ่งถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่เคลียร์ ไม่ใสสะอาด การตัดสินก็อาจผิดไป ต้องเคลียร์ตัวเองให้บริสุทธิ์ใจก่อน และกล้าที่จะฟันธงในสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความยุติธรรม แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าน้องๆ ปัจจุบันคอรัปชั่นนะครับ เพียงแต่ว่ามันมีกระแสอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเราควรพัฒนาให้บ้านเรามีมาตรฐานเท่ากับสากลครับ
จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ตัดสิน
คือช่วงสมัยผมยังเรียนอยู่ก็เล่นฮอกกี้ ควบคู่กับการเป็นกรรมการตามงานแข่งฟุตบอลทั่วไป แล้วตอนนั้นมีเปิดให้สอบเป็นผู้ตัดสินของ FIFA พร้อมกับเปิดคัดตัวฮอกกี้ไปแข่งเอเชียนเกมส์ ที่เกาหลี ไอ้ความที่อยากไปต่างประเทศก็เลยไม่สนใจการสอบเข้าเป็นผู้ตัดสินของ FIFA แต่ไปคัดฮอกกี้แทน ก็สำเร็จและได้ไปเอเชียนเกมส์ และพอกลับมานายกสมาคมฮอกกี้ในตอนนั้นก็มาขอร้องให้ไปคุมทีมชาติฮอกกี้หญิง ตอนแรกหลังจบเอเชียนเกมส์ผมตั้งใจจะแขวนไม้และมาเป็นกรรมการฟุตบอลเต็มตัว แต่ก็ใจอ่อนไปคุมทีมชาติฮอกกี้หญิง เพื่อลุยชิงแชมป์เอเชียที่ฮ่องกง ปรากฏว่าได้แชมป์ พอกลับมาเราก็รีบบอกเลยว่าไม่คุมต่อแล้วนะครับ เพราะเราอยากจะไปเป็นผู้ตัดสิน(หัวเราะ)
ทำไมถึงตั้งมั่นขนาดนั้นว่าเราจะเป็นผู้ตัดสิน
เราชอบนะ เราชอบการตัดสินกีฬา เพียงแต่ตอนนั้นอยากไปต่างประเทศในฐานะนักกีฬาเท่านั้นเอง เพราะเราเป่าฟุตบอลมาตั้งแต่เรียนวิทยาลัยพลศึกษาชลบุรีแล้ว พอมาเรียนต่อ ปี 3, 4 ที่ มศว เกี่ยวกับพลศึกษา ก็มาตัดสินบอลกรมพละที่สนามต้นโพธิ์ เรียกได้ว่าตัดสินมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ
ตอนนั้นใครเป็นคนสอนอาจารย์ครับ หรือว่าเราเรียนรู้เอง
ก็ดูเอง ศึกษาเองครับ แล้วตอนมาตัดสินที่สนามต้นโพธิ์ ท่านอาจารย์วิจิตร เกตุแก้ว ทำงานอยู่ที่กรมพลศึกษาท่านเห็นแววก็เลยชักชวนเข้ามาสอบเป็นผู้ตัดสินของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย รู้สึกตอนนั้นจะปี 2520 และในปีนั้นเองเราก็สอบเข้าเป็นผู้ตัดสินของสมาคมได้สำเร็จ เป็นจุดเริ่มต้นครับ ตอนนั้นผมอายุน่าจะประมาณ 24-25 ปี วัยกำลังแข็งแรงเลยครับ(หัวเราะ)
ในยุค 90 ที่ประเทศเราแทบไม่มีใครสนใจผู้ตัดสิน สื่อก็ไม่บูมขนาดนี้ อาจารย์ก้าวไปจุดนั้นได้ยังไงครับ
หลังจากที่เราสอบเป็นผู้ตัดสินสมาคม ต่อจนสอบเข้าเป็นผู้ตัดสินของฟีฟ่า(FIFA) ได้สำเร็จและตัดสินในประเทศจนเริ่มอยู่มือ ก็มีการคัดเลือกเราให้ไปตัดสินในละแวกเอเชีย ดูว่าในเกมมาตรฐานสากลเราตัดสินเป็นยังไง จะมีคนคอยประเมินให้คะแนน เค้าก็จะดูว่าเราวิ่งดีไหม ให้ใบเหลืองใบแดงถูกไหม ตำแหน่งยืนเป็นยังไง การร่วมมือกับผู้ช่วยผู้ตัดสิน แล้วก็จะให้คะแนนกันแมทช์ต่อแมทช์ เสร็จแล้วก็จะส่งคะแนนไปให้ผู้ประเมินจาก AFC(สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย) เสร็จแล้วเค้าก็จะคัด 5 หรือ 10 คนที่คะแนนดีที่สุด ส่งไปให้ FIFA เพื่อจะบอกว่าผู้ตัดสินเหล่านี้ทำหน้าที่ได้ดีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แล้ว FIFA ก็จะลงมาดูเพื่อแต่งตั้งให้ผู้ตัดสินเหล่านี้ลองไปตัดสินในโซนอื่น
ตอนเป็นผู้ตัดสิน FIFA ครั้งแรกเค้าให้เราไปเป่าที่ไหนครับ
ตอนนั้นเค้าก็ให้เราไปตัดสินทั่วเอเชียเลยครับ คือจริงๆตอนนั้นด้วยระดับของเราไปได้แค่เอเชีย เสร็จแล้วทุกครั้งที่ไป คะแนนก็ออกมาดีทุกครั้ง ทำแบบนี้อยู่ได้ประมาณ 4 ปี ก็ได้รับการแต่งตั้งจาก FIFA ให้ไปเป็นผู้ตัดสินหญิงชิงแชมป์โลก ปี 1995 ที่ประเทศสวีเดน
แล้วการตัดสินฟุตบอลโลกหญิงเป็นยังไงบ้างครับ
ก็ไม่เคยตัดสินฟุตบอลหญิงมาก่อนเลยนะครับ ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมได้รับโอกาสนั้น(หัวเราะ) ก็อาจเป็นเพราะเราตัดสินแล้วคะแนนเข้าตามั้งครับ… การตัดสินบอลหญิงค่อนข้างลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าผู้เล่นหญิงจะฟาว์ลตอนไหน ไม่ชัดเจนเหมือนกับทีมชาย พูดง่ายๆคือบอลชายจะเน้นเสียบสกัดขา หรือแทคเกิล แต่บอลหญิงจะเน้นดึงเสื้อ ดึงผม โอเคตามกติกามันฟาว์ล แต่มันเกิดบ่อย บ่อยมากจริงๆ จนบางทีเราก็ลังเลใจว่าจะเป่าฟาว์ลดีมั้ย(หัวเราะ)
แล้วอาจารย์เอาอยู่ไหมครับ
ก็น่าจะเอาอยู่นะครับ(หัวเราะ) สิ่งสำคัญคือเราต้องเห็น เห็นแล้วถึงลงโทษ ดังนั้นคำถามคือทำยังไงจึงจะเห็นเกมตลอด เหมือนกับที่กล้องถ่ายทอดสดเห็น แน่นอนเลยคือเราตั้งแข็งแรง ต้องฟิตได้ วิ่งถึง จะได้ตามเกมทัน ถ้ามองไม่เห็นแล้วตัดสินก็คือไม่ยุติธรรมนั่นเอง
หลังจากจบฟุตบอลโลกหญิงอาจารย์ทำอะไรต่อ
ตอนนั้นก็เป่าเรื่อยนะครับ ตามแมทช์ทั่วไปและของ FIFA พอปีต่อมา(1996) ผมได้รับการแต่งตั้งให้ไปตัดสินในกีฬาโอลิมปิก เมืองแอตแลนตา สหรัฐอเมริกา ซึ่งรายการนั้นผมก็เป่าอยู่ 4 แมทช์ และได้เจอกับ ปิแอร์ลุยจิ คอลลินา(กรรมการที่เคยได้รับการยกย่องให้เป็นเบอร์ 1 ของโลก) ซึ่งตัวจริงเค้าก็โอเคนะ เรื่องฝีมือก็ไม่ธรรมดาเพราะเค้าสอบติด FIFA แค่ 2 ปีก็ได้มาเป่าโอลิมปิกแล้ว… จนถึงนัดชิงชนะเลิศเราได้รับการเสนอชื่อร่วมกับคอลลินาว่าใครจะลงได้ลงทำหน้าที่และปรากฏว่าเค้าก็ให้เกียรติคอลลินาเพราะว่าอิตาลีมีลีกอาชีพที่เป็นมาตรฐานมากกว่าไทย ส่วนผมก็เลยได้เป็นผู้ตัดสินที่ 4 ครับ
จบจากโอลิมปิกเข้าสู่คอนเฟเดอเรชันส์คัพ เป็นยังไงบ้างครับอาจารย์กับรายการระดับโลกอีกแล้ว
ก็รายการนี้จะมีประมาณ 10 แมทช์ มีผู้ตัดสินไปทั้งหมด 8 คน ก็เท่ากับว่าได้เป่าคนละแมทช์ แต่จะมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่เบิ้ล เป่า 2 แมทช์ ส่วนผมนี่เป่าไป 2 แมทช์ครึ่ง คือเป่ารอบแรก, รอบชิง แล้วก็แมทช์ที่ได้เป็นผู้ตัดสินที่ 4 แต่ระหว่างทำหน้าที่กรรมการในสนามโดนโรแบร์โต้ คาลอส ยิงบอลใส่หัวจนสลบเข้าโรงพยาบาล ผมเลยต้องลงไปทำหน้าที่แทนครับ
โห… เรียกได้ว่าทำหน้าที่มากที่สุด
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละครับ ต้องขอบคุณทางนั้นที่ให้โอกาสเราด้วย คือตอนแรกเราเป่ารอบแรกเสร็จก็หยุดไปเลย คิดว่าคงหมดแล้วเพราะได้เป่าคนละแมทช์เท่านั้น
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ารายการหนึ่งเราจะเป่าได้กี่ครั้ง
ทางฟีฟ่าก็จะประกาศรอบต่อรอบ ใครที่คะแนนดีก็ได้ไปต่อ ใครที่คะแนนน้อยกว่าก็ต้องกลับบ้านไป แต่ละทัวร์นาเมนต์ไม่ใช่แค่นักเตะที่แข่งกัน กรรมการก็แข่งด้วย แต่เป็นการแข่งกับตัวเองและความยุติธรรม
เอาละเสร็จจากคอนเฟเดอเรชันส์ก็มาสู่ฟุตบอลโลก 98 ที่ฝรั่งเศส ตอนนั้นเป็นยังไงบ้างครับ
ก็ตอนนั้นผมก็อายุ 45 ปีพอดี เป็นปีสุดท้ายที่ต้องเกษียณ เพราะผู้ตัดสิน FIFA จะทำหน้าที่ได้ถึง 45 ปีเท่านั้น ซึ่งก็เป็นปรากฏการณ์นะครับเพราะปกติแล้ว อายุ 45 ไม่ค่อยมีใครได้ไปบอลโลก แต่เราได้รับเกียรตินั้น ก็งงเหมือนกันและดีใจมากครับ
แสดงว่าอาจารย์ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เป่าบอลโลกเหรอครับ
ใช่ครับ… จริงๆ แล้วทุกทัวร์นาเมนต์ใหญ่ของฟีฟ่าผมไม่ได้คาดหวังเลย เพียงแต่ว่าการตัดสินของเราอาจจะไปเข้าตากรรมการ ซึ่งตรงนี้ต้องขอบคุณมากๆนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟุตบอลโลกครั้งนั้นผมเป็นคนเดียวที่ได้เป่าในรอบคัดเลือกมากที่สุด คือ 8 แมทช์ ช่วงนั้นผมก็จะบินไปทั่วเลย ไปหลายทวีปยกเว้นเอเชีย เพื่อเป็นการทดลองว่าเราจะสามารถไปตัดสินในเกมจากทวีปอื่นได้ไหม อย่างรอบคัดเลือกแมทช์สุดท้ายผมไปเป่าเกมระหว่างปาปัวนิวกินี กับ ฟิจิ ผมไปคนเดียว เปิดโลกกว้างสนุกมากเลยครับ(หัวเราะ)
ดูเหมือนในฟุตบอลโลก 98 อาจารย์จะได้เป่า 2 แมทช์ใช่ไหมครับ
ใช่ครับ แมทช์แรก โมร็อกโก พบ นอร์เวย์ ส่วน ไนจีเรีย พบ ปารากวัย เป็นแมทช์ที่สองครับ คือทั้ง 2 เกมเราก็ไม่กดดันนะครับ เหมือนทำหน้าที่ตามปกติ เพราะเราก็ผ่านเกมใหญ่ๆมาบ้าง แถมเป่ารอบคัดเลือกมาเยอะ เพียงแต่ว่าเราตื่นเต้นในจังหวะที่ลงสนาม เค้าประกาศชื่อของเราแบบ "มิสเตอร์ ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ ฟอร์ม ไทยแลนด์" คือแบบมันขนลุกมาก ตื้นตัน บรรยากาศมันต่างจากฟุตบอลทั่วๆไปและเราคงจดจำไปจนวันตาย ไม่มีทางลืมภาพนี้จากชีวิตแน่นอน
ตอนนั้นรู้สึกว่าบอลโลก 98 อาจารย์จะอายุ 45 พอดีปีเกษียน เสียดายมั้ยครับว่าเราเข้า FIFA ช้าไป
ก็มีเสียดายบ้างนิดหน่อยครับ เพราะตอนเราเข้าเป็นกรรมการ FIFA ก็อายุปาไป 33 แล้ว แต่ผมถือว่าผมคุ้มแล้ว ได้ตัดสินถึง 2 เกม ทั้งที่คนอื่นในรอบคัดเลือกได้ตัดสินคนละเกม
สุดท้ายอยากแนะนำอะไรถึงผู้ตัดสินไทยรวมทั้งหนุ่มสาวที่สนใจอยากก้าวมาถึงจุดนี้ไหมครับ
อยากให้คนไทยเราอายุ 25 ก็ควรจะติด FIFA ได้แล้วครับ(หัวเราะ) เพราะในประเทศใหญ่ๆ ผู้ตัดสินจะวัยหนุ่มทั้งนั้น ทำให้เค้าเรามีเวลาประมาณ 20 ปีในการเป็นผู้ตัดสิน และจะมีโอกาสเป่าบอลโลกถึง 5 ครั้ง แต่ของบ้านเรากว่าจะติด FIFA ก็ 30 กว่าแล้ว อาจจะช้าเกินไป อีกอย่างเรื่องรายได้ก็พัฒนาขึ้นเยอะ ไทยลีกตอนนี้เป่าอยู่ที่แมทช์ละ 1 หมื่นเศษๆ ไลน์แมนก็จะประมาณ 8 พันนิดๆ ยิ่งถ้าเราฝีมือดีดีอาจจะเป่าวันเสาร์ พอวันอาทิตย์เป็นผู้ตัดสินที่ 4 รายได้รวม 2 วันก็เฉียด 2 หมื่นเลยครับ ถือว่าเพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้… ถ้าใครสนใจ 18 ปีก็ถือว่ามีคุณสมบัติที่จะสอบเข้าเป็นผู้ตัดสินสมาคมแล้ว ก็มาลองดูกันครับ มาช่วยกันพัฒนาวงการฟุตบอลไทยไปด้วยกัน
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนิตยสาร RUSH ได้ที่
Facebook : facebook.com/RUSHmag
IG : instagram.com/rush_magazine_official/
RUSH VDO : seeme.mthai.com/ch/rush
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก
RUSH#105 June